Posts By Deanna Owens

ทัวร์ญี่ปุ่น กับ 4 สถานที่ท่องเที่ยว ที่ต้องไปดูสักครั้ง

ไป ทัวร์ญี่ปุ่น ทั้งที ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวม 4 สถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ที่สำคัญของญี่ปุ่นมากฝากกัน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งไหนบ้างนั้น ต้องไปดูกันเลย

ทัวร์ญี่ปุ่น , ญี่ปุ่น ,ภูเขาไฟฟูจิ

1.ภูเขาฟูจิ

มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ถ้าพลาดภูเขาฟูจิไป ก็เหมือนยังมาไม่ถึงญี่ปุ่นนั่นเอง ดังนั้นในการทัวร์ญี่ปุ่น คุณควรเลือกซื้อทัวร์ที่มีภูเขาฟูจิด้วย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็จัดว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลกเลยล่ะ แถมยังห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบทั้ง 5 ที่ต้องบอกเลยว่าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

2.โอซาก้า

เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างก็นิยมมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งที่สุดนั่นเอง โดยเมืองแห่งนี้ก็ยังมีจุดที่น่าสนใจมากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอ่าวโอซาก้า สวนสนุก หรือการแสดงละครหุ่น เป็นต้น

3.ฮอกไกโด

มาถึงญี่ปุ่น อย่าลืมไปสัมผัสกับดินแดนหิมะที่ฮอกไกโดกันด้วย ซึ่งเป็นเกาะที่ถือว่าเป็นสวรรค์ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยที่นี่คุณจะได้ทำกิจกรรมสนุกๆ อย่างการเล่นสกี ที่ทั้งท้าทายและน่าตื่นเต้น แต่ต้องมา ทัวร์ญี่ปุ่น ในช่วงหน้าหนาว ที่มีอากาศหนาวเย็นและหิมะตกเท่านั้น

4.โตเกียว ทาวเวอร์

เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของโตเกียว ทาวเวอร์ หรือหอคอยที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่นกันมาบ้างแล้ว ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่จะต้องแวะมาชมให้ได้สักครั้ง เพราะฉะนั้นห้ามพลาด

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 4 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ที่คุณจะต้องแวะไปชมให้ได้ โดยหากใครกำลังมองหาทัวร์ญี่ปุ่นที่น่าสนใจอยู่ล่ะก็ ควรเลือกทัวร์ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ในแพคเกจทัวร์ด้วย จะได้เที่ยวอย่างคุ้มค่าและไม่พลาดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงสถานที่ที่เรายกมาแนะนำเท่านั้น โดยยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่หากมีโอกาส ก็ควรแวะไปเที่ยวให้ทั่วถึงเช่นกัน

วิธีรับมือกับอาการปวดหัวไมเกรน โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียว

อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่นั้น อาจจะเป็นผลมาจากการที่กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง (Tension Type Headache) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการปวดหัวประเภทนี้จะไม่รุนแรงอะไรมากนักเมื่อเทียบกับอาการปวดหัวไมเกรน เนื่องจากอาการปวดประเภทนี้จะส่งผลรุนแรงต่อศีรษะมากกว่า โดยอาการที่แสดงออกมานั้นส่วนมากจะเริ่มมีอาการปวดที่บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงลามไปปวดบริเวณหน้าผากส่วนหน้า และปวดศีรษะทั้งสองข้างในที่สุด

โดยอาการปวดนั้นจะมีลักษณะปวดแบบตุบ ๆ อยู่ที่หัว สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการนี้ยิ่งมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากเท่าไหร่ อาการปวดก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดรุนแรงถึงขั้นคลื่นไส้อาเจียนเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเราไปดูกันดีกว่า โรคปวดหัวไมเกรนที่เกิดขึ้นนี้สามารถเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดหัวเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน

             จากการศึกษาผลงานวิจัยหลาย ๆ แหล่งยังไม่สามารถระบุลงไปได้แน่ชัดว่าอาการปวดหัวแบบไมเกรนนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่ เพียงแต่บอกได้รวม ๆ ว่าอาการนี้เกิดขึ้นจากความผิดปกติในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ส่วนที่เป็นเส้นประสาทประเภทไตรเจอมินอล ประกอบกับความผิดปกติของเส้นเลือดในสมองบางเส้น ทั้งนี้ด้วยความผิดปกติที่เกิดขึ้นส่งผลให้อาการปวดหัวแบบไมเกรนของคนแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกันไป โดยอาการนี้จะถูกตรวจพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า

ปัจจัยที่สามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้

             ปัจจัยที่กระตุ้นอาการของโรคนี้พบว่ามีด้วยกันหลายด้าน เช่น ด้านการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบมากในผู้หญิงเมื่อเป็นประจำเดือน ด้านอารมณ์ความรู้สึก เช่น ความเครียด ความเศร้า หรือกระทั่งความตื่นเต้น ด้านร่างกาย เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือร่างกายอาจขาดสารอาหารหรือวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น แสง เสียงรบกวน อุณหภูมิที่ส่งผลให้มีความร้อนหรือความเย็นที่มากเกินไป มลภาวะฝุ่นควันต่าง ๆ เป็นต้น

             การตอบสนองต่อปัจจัยใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับอาการปวดไมเกรนของแต่ละคน สำหรับคนที่ต้องการลดการกินยานั้น จะต้องหมั่นสังเกตให้ดีว่าตัวเองนั้นตอบสนองต่อปัจจัยใด โดยอาจจดรายละเอียดก่อนการเกิดอาการทุกครั้งลงสมุด เป็นการบันทึกติดตามอาการของตนเองเพื่อหาว่าปัจจัยใดกันแน่ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดไมเกรน จากนั้นจะได้หาทางป้องกันไม่ให้ปัจจัยนั้นสามารถเข้ามารบกวนตนเองได้ เช่น หากพบว่าแสงเป็นสาเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวดังกล่าว ต่อไปทุกครั้งที่ต้องเจอกับแสงจ้า ๆ ก็ให้สวมแว่นตากันแดดเพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้น หรือหากแพทย์ตรวจพบว่าสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคไมเกรนมาจากการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อสมอง ก็อาจจะต้องหาซื้ออาหารเสริมมารับประทานเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องการไม่ให้เกิดอาการปวดหัวได้อีกทางหนึ่ง

วิธีป้องกันและรับมือกับอาการปวดหัวไมเกรน

             อย่างไรก็ตามเมื่อทราบเหตุปัจจัยแล้วก็จะช่วยให้เราสามารถป้องกันอาการปวดหัวได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เราป้องกันและรับมือกับอาการปวดไมเกรนได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียว ดังนี้

             1. พักผ่อนอย่างเพียงพอ เนื่องจากร่างกายคนเราต้องการการฟื้นฟูเพื่อซ่อมแซมส่วนที่ถูกใช้งานตลอดทั้งวัน ดังนั้นการนอนให้เพียงพออย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงนับเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

             2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเครียดไปได้ในตัวอีกด้วย

             3. งดรับประทานอาหารที่ให้โทษและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย

             4. รับประทานอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ

             5. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะก่อให้เกิดอาการปวดหัว

เชื่อว่าหากทำได้ทั้งหมดนี้ ก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าอาการปวดหัวไมเกรนแบบเดิม ๆ จะไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกแล้ว หรือหากยังมีอาการอยู่ แต่ปรับวิธีรับมือได้ตามนี้คุณก็ลืมเรื่องการสะสมของยาในตับที่เกิดจากการกินเป็นระยะเวลานานมากเกินไปได้เลย

ชอปปิงกับ Shopee ในแคมเปญใน  9.9 แคมเปญใหญ่เอาใจนักชอปแบบจัดหนักจัดเต็ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/99

สิ่งที่ต้องทำหากคุณตกเครื่องบิน

การเดินทางด้วยเครื่องบินหากคุณเข้าไปรายงานตัวเพื่อขึ้นเครื่องบินไม่ทันเวลาที่สายการบินกำหนดไม่ทัน ทางสายการบินจะให้ผู้ที่ซื้อตั๋วสำรองขึ้นบินแทนคุณ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะตกเครื่องบินเป็นแน่ นอกเสียหากมีเหตุสุดวิสัย หลายคนที่ตกเครื่องมักจะตกใจทำอะไรไม่ถูก ซึ่งวันนี้เรามีสิ่งที่ต้องรู้และปฏิบัติหากคุณตกเครื่องบินดังนี้

1.แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบิน

            เมื่อคุณแน่ใจว่าไม่สามารถเดินทางไปขึ้นเครื่องบินได้ทันเวลา ให้ทำการแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินที่ทำการจองตั๋วไว้ ว่าท่านไม่สามารถขึ้นบินได้ทันในไฟล์ที่จองไว้ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ทำการให้ผู้โดยสารท่านอื่นที่มีตั๋วสำรองขึ้นบินแทนและเลื่อนไฟล์การเดินทางให้ในไฟล์ที่สามารถเดินทางมาได้ทันเวลา หรือในกรณีที่ที่ผู้โดยสารตกเครื่องที่ต้องทำการต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งการต่อเครื่องกระเป๋าจะทำการโหลดขึ้นเครื่องสำหรับเดินทางต่อไปทันทีไม่ได้ทำการโหลดมายังสนามบิน ก็ให้ทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้ขึ้นเครื่องไปด้วย หากเครื่องบินถึงสนามบินแล้วให้เจ้าหน้าที่สายการบินทำการเก็บกระเป๋าไว้ให้ด้วย

2.ติดต่อด้วยความสุภาพ

            การติดต่อเจ้าหน้าที่อย่าให้เสียงดัง วาจาหยาบคายหรือโวยวายใส่พนักงานที่ทำหน้าที่ประสานงาน เพราะการทำกิริยาดังกล่าวจะทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกไม่ดี และไม่ให้ความช่วยเหลือในการติดต่อขอเลื่อนไฟล์หรือยกเลิกตั๋วให้ เพราะการมาไม่ทันเที่ยวบินเป็นความผิดของผู้โดยสารไม่ใช่ความผิดของสายการบิน ดังนั้นการติดต่อควรใช้น้ำเสียงและวาจาที่สุภาพในการติดต่อเจ้าหน้าสายการบินทุกครั้ง แล้วการเดินทางของคุณจะง่ายขึ้น

3.ศึกษาข้อกำหนดของสายการบิน

            สายการบินทุกสายจะมีข้อกำหนดในการขึ้นบิน และในกรณีที่ผู้โดยสารตกเครื่องบินว่าควรจะปฏิบัติตัวและแจ้งเจ้าหน้าที่ในช่วงเวลาใด จึงจะสามารถทำการเปลี่ยนตั๋วได้โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากเกินระยะเวลาที่ทางสายการบินกำหนดผู้โดยสารจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจำนวนเท่าใด การศึกษาไม่ใช่ว่าคุณจะตกเครื่องแต่ศึกษาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินที่อาจะเกิดขึ้นได้

4.แจ้งญาติหรือผู้มารอรับ

            หลังจากที่แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินแล้ว ให้ทำการติดต่อญาติหรือผู้ที่มารอรับปลายทางทราบว่าท่านไม่ได้เดินทางไปกับสายการบินไฟล์ที่ทำการแจ้งในครั้งแรก และจะเดินทางอีกครั้งในไฟล์ต่อไป เพื่อให้ผู้ที่ทารอรับไม่ต้องกังวลและกำหนดเวลาที่จะเดินทางมารับยังสนามบินได้ตรงเวลา

            การตกเครื่องบินไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย เพราะอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทางเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการเดินทางไปขึ้นเครื่องบินควรเดินทางไปถึงก่อนเวลาขึ้นเครื่องประมาณ 45- 60 นาที แต่หากไม่ทันเวลาจริง ๆ ให้ทำตามวิธีการข้างต้น คุณก็จะสามารถเดินทางต่อไปได้

3 เทคนิคการจัดกระเป๋าสำหรับการเที่ยวแบบ Backpack

การท่องเที่ยวแบบ backpackได้รับความนิยมในหมู่ชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการท่องเที่ยวแบบผจญภัยด้วยการเดินทางด้วยตนเอง ไม่มีการจองตั๋วที่พัก ไม่มีการกำหนดเวลาในการเดินทาง นับว่าเป็นการเดินทางที่สร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งการท่องเที่ยวแบบนี้ผู้เที่ยวจะต้องแบกกระเป๋าและขนกระเป๋าด้วยตนเอง ไม่มีรถบัสหรือรถเช่นเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก ดังนั้นใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ backpack เรามีเทคนิคการจัดกระเป๋าดี ๆ มาฝากกัน

1.ขนแต่ของจำเป็น

            ของที่ใส่ลงในกระเป๋าจะต้องเป็นของที่จำเป็นเท่านั้น อย่าใส่ของที่ไม่จำเป็นหรือใส่ของเยอะเกินไป เพราะจะทำให้น้ำหนักกระเป๋าหนักมาก ส่งผลให้เดินทางได้ช้าและเดินทางลำบากด้วย สำหรับเสื้อผ้าให้ทำการม้วนเป็นก้อนกลมขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจัดเรียงลงในกระเป๋า เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ในการใส่เสื้อผ้า ทำให้กระเป๋าใบเดียวสามารถขนทุกอย่างที่จำเป็นในการเดินทางได้ทั้งหมด สำหรับของใช้ในห้องน้ำให้เตรียมเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และใช้ในปริมาณที่พอดี เพื่อประหยัดพื้นที่และลดน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางด้วย

2.เสื้อผ้าสีเข้ม

            การเดินทางท่องเที่ยวแบบ backpack แน่นอนว่าจะไม่สะดวกสบายและต้องสัมผัสกับฝุ่นควันตลอดการเดินทาง ถึงแม้จะได้ชื่นชมบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติตลอดการเดินทางก็ตาม ดังนั้นเสื้อผ้าควรมีสีเข้ม เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีน้ำตาล เป็นต้น เพราะเวลาที่เลอะหรือเปื้อนฝุ่นจะดูไม่สกปรกมาก และเสื้อผ้าควรเป็นผ้าที่สวมใส่สบาย ระบายอากาศและความชื้นได้ดี เพื่อการเกิดกลิ่นเหม็นจากเหงื่อให้ลดน้อยลง

3.รองเท้าสำรอง

            การเดินทางแบบ backpack นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเลือกเดินทางด้วยเท้าเป็นหลัก สลับกับการโบกรถเพื่อเดินทางในบางพื้นที่ ดังนั้นรองเท้าที่ใส่จะต้องสวมใส่สบายเวลาเดินและมีความคงทนต่อการใช้งาน แต่เมื่อใช้งานไปรองเท้าอาจเกิดการขาดจนไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรเตรียมรองเท้าสำรองติดกระเป๋าไว้อีกคู่ ไว้ใช้ยามฉุกเฉินระหว่างเดินทางด้วย เพราะหากรองเท้าขาดระหว่างการเดินทางแล้วไม่มีรองเท้าสำรอง การเดินทางจะต้องหยุด หากต้องหาซื้อรองเท้าใหม่อาจจะไม่มีไซต์หรือรองเท้าที่มีคุณภาพ จะทำให้ได้รับบาดเจ็บในระยะยาวได้

การจัดกระเป๋าเดินทางแบบ backpack จะต่างจากการจัดกระเป๋าท่องเที่ยวแบบอื่นที่สามารถนำกระเป๋าลากใบใหญ่ไปด้วยได้ การจัดกระเป๋าจึงจำเป็นจะต้องเน้นแต่สิ่งที่ของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น เป็นการลดน้ำหนักของกระเป๋าให้น้อยที่สุด เพื่อให้การเดินทางสบายขึ้น เพราะในการเดินทางแบบ backpack จะต้องแบกกระเป๋าไว้บนหลังตลอดการเดินทาง จึงควรจัดกระเป๋าให้เบาแต่มีของใช้ที่จำเป็นทุกอย่างนั่นเอง

ข้อดีของการเที่ยวแบบ backpack

การท่องเที่ยวมีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งแบบไปเป็นทัวร์ แบบหมู่คณะ เข้าพักตามโรงแรมหรือรีสอร์ทที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน การท่องเที่ยวแบบนี้จะทำให้รู้สึกสนุกและผ่อนคลาย แต่ยังมีการท่องเที่ยวอีกแบหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมไม่น้อย การท่องเที่ยวที่ว่า คือ การท่องเที่ยวแบบ backpack

            การเที่ยวแบบ backpack คือ การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายอย่างประหยัด ซึ่งการเที่ยวแบบนี้นักท่องเที่ยวจะเดินด้วยเท้าและอาศัยรถโดยสารสาธารณะของพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งลักษณะเด่นของการเที่ยวแบบนี้คือ นักท่องเที่ยวจะต้องแบกเป้ใบใหญ่ที่ขนสัมภาระประจำตัวสะพายหลัง ซึ่งข้อดีของการท่องเที่ยวแบบนี้คือ

1.ประหยัด        

            การท่องเที่ยวแบบนี้จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มาก เพราะไม่เสียค่าบริการรถเช่าหรือรถรับส่งที่เหมาจ่ายมาในราคาสูงเพื่ออำนวยความสะดวก แต่จะเดินทางด้วยเท้า โบกอาศัยรถที่ผ่านไปมาหรือโดยสารรถสาธารณะประจำท้องถิ่นที่ให้บริการอยู่ทั่วไป ซึ่งราคาค่าบริการจะถูกหรือบางครั้งไม่เสียเงิน สำหรับที่พักก็เลือกพักในโรงแรมหรือห้องเช่าราคาถูก กินอาหารทั่วไป ดังนั้นการท่องเที่ยวแบบ backpack จึงเป็นการท่องเที่ยวที่ประหยัดมาก

2.ประสบการณ์ใหม่

            การเที่ยวแบบนี้จะได้พบกับผู้คนหลากหลาย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ได้สัมผัสกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว จึงเป็นการสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศในอีกมุมหนึ่งที่ได้ลงลึกถึงความเป็นตัวตนของประเทศนั้นจริง ๆ

3.ฝึกความอดทน

            การเดินทางไม่ได้นั่งอยู่ในห้องแอร์ แต่จะต้องเดินทางในอากาศที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่แท้จริง บางครั้งต้องเดินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าจะมีรถผ่านมาและรับขึ้นไปด้วย ทั้งอาหารการกินที่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นที่ผ่านไป ไม่สามารถเลือกกินแต่อาหารที่เคยกินได้ ดังนั้นการเดินทางแบบ backpack จึงฝึกความอดทนที่ดีมาก เพราะหากทนไม่ได้ก็จะต้องกลับบ้าน ไม่สามารถเที่ยวต่อไปได้

4.ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

            ในการเดินทางนักท่องเที่ยวไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ดังนั้นในการเดินทางหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นักท่องเที่ยวจะต้องรีบตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการฝึกการแก้ไขปัญหาที่ดีให้กับตนเอง โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงหรือพ่อแม่คอยช่วยเหลือ

ทราบข้อดีของการเดินทางท่องเที่ยวแบบ backpack กันแล้ว สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะเที่ยวแบบนี้ดีหรือไม่ อย่ารอช้าตัดสินใจเตรียมกระเป๋าแล้วออกเดินทางกัน แล้วคุณจะรู้ว่าโลกที่คุณกว่ากว้างยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก และความลำบาก ปัญหาและประสบการณ์ที่พบจากการเดินทางจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นจากการท่องเที่ยวแบบ backpack